ก่อนที่จะตัดสินใจทำรากฟันเทียม ทันตแพทย์จะพิจารณาความเหมาะสมของปัญหาฟัน และเลือกประเภท รวมถึงวัสดุที่เหมาะสม เพื่ออายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น และไม่มีปัยหาแทรกซ้อนตามมา ในเนื้อหานี้เราจะมาแนะนำว่ารากฟันเทียม มีกี่แบบและแบบไหนเหมาะกับปัญหาฟันของคุณที่สุด
การทำรากฟันเทียม มีกี่แบบ
การทำรากฟันเทียมมีหลายประเภทตามความต้องการของผู้ป่วย เช่น รากฟันเทียมซี่เดียว เหมาะสำหรับผู้ที่สูญเสียฟัน 1 ซี่ โดยฝังรากฟันเทียมและติดตั้งครอบฟัน หรือรากฟันเทียมหลายซี่ สำหรับผู้ที่สูญเสียฟันหลายตำแหน่ง นอกจากนี้ยังมีเทคนิค All-on-4 และ All-on-6 ซึ่งใช้รากฟันเทียม 4 หรือ 6 ซี่สำหรับรองรับฟันปลอมทั้งแผง เหมาะกับผู้ที่สูญเสียฟันทั้งปาก รวมถึงการฝังรากฟันเทียมทันทีหลังถอนฟันโดยไม่ต้องรอให้แผลถอนฟันหาย และการใส่ฟันทันทีที่สามารถใช้งานได้ทันทีหลังการฝังรากฟันเทียม

1. รากฟันเทียมแบบซี่เดียว
เหมาะสำหรับผู้ที่สูญเสียฟันไปเพียง 1 ซี่ โดยจะทำการฝังรากฟันเทียมลงไปที่ตำแหน่งของฟันที่สูญเสียไป แล้วใส่ครอบฟันลงไปทับ

2. รากฟันเทียมแบบหลายซี่
เหมาะสำหรับผู้ที่สูญเสียฟันไปหลายซี่ โดยจะทำการฝังรากฟันเทียมหลายๆ ซี่ แล้วทำสะพานฟันครอบทับลงไปบนรากฟันเทียม

3. รากฟันเทียมแบบ All-on-4
เป็นวิธีการรักษาที่ทันสมัยสำหรับผู้ที่สูญเสียฟันไปจำนวนมาก หรือต้องการฟันชุดใหม่ทั้งหมด โดยวิธีนี้จะใช้รากฟันเทียมเพียง 4 ซี่

4. รากฟันเทียมแบบ All-on-6
จะใช้รากฟันเทียมทั้งหมด 6 ซี่ในการรองรับฟันปลอม เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีกระดูกขากรรไกรเพียงพอ และต้องการฟันปลอมที่ใช้งานได้ยาวนาน

5. รากฟันเทียมในวันเดียว
คือการปลูกฝังรากฟันเทียมเข้าไปในตำแหน่งที่เพิ่งถอนฟันออกไปทันที โดยไม่รอให้แผลหายสนิท แต่ยังต้องรอระยะเวลาหนึ่งในการติดตั้งฟันเทียม
การทำรากฟันเทียม เหมาะกับใคร?
ปัญหาฟันที่เหมาะกับการทำรากฟันเทียมมักเป็นกรณีที่ผู้ป่วยสูญเสียฟันธรรมชาติไปบางส่วนหรือทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นจากสาเหตุ การถอนฟัน การบาดเจ็บ ฟันผุขั้นรุนแรง หรือ โรคเหงือก ขั้นรุนแรงที่ทำให้ฟันหลุดหรือไม่สามารถรักษาฟันเดิมได้ การทำรากฟันเทียมยังเหมาะกับผู้ที่ ฟันปลอม หรือ สะพานฟัน แบบเดิมมีปัญหาในการใช้งาน เช่น ฟันปลอมหลวม หรือฟันปลอมไม่สามารถให้ความมั่นคงในช่องปากได้ นอกจากนี้ ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูการบดเคี้ยวและรักษารูปหน้าที่เปลี่ยนไปจากการสูญเสียฟันหลายซี่หรือฟันทั้งปาก ก็สามารถใช้รากฟันเทียมเป็นทางเลือกในการรักษาที่ช่วยฟื้นฟูความมั่นใจและการใช้งานฟันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยสามารถแบ่งปัญหาฟันที่เหมาะกับการทำรากฟันเทียมเป็นข้อๆได้ดังนี้:
- สูญเสียฟันจากการถอนฟัน: ฟันที่ไม่สามารถรักษาได้และต้องถูกถอนออก เช่น ฟันที่ผุหรือเสียหายจนไม่สามารถรักษาได้ด้วยการอุดฟันหรือครอบฟัน
- ฟันผุขั้นรุนแรง: เมื่อฟันผุถึงขั้นที่โครงสร้างฟันเสียหายมากเกินไปจนไม่สามารถรักษาได้ด้วยวิธีอื่น
- ฟันหลุดจากการบาดเจ็บหรืออุบัติเหตุ: กรณีที่ฟันหลุดจากอุบัติเหตุและไม่สามารถฟื้นฟูฟันธรรมชาติได้
- โรคเหงือกขั้นรุนแรง (Periodontitis): เมื่อโรคเหงือกทำลายกระดูกขากรรไกรจนทำให้ฟันหลุดหรือมีปัญหาการยึดฟันกับกระดูก
- ฟันปลอมหลวม: ผู้ที่ใช้ฟันปลอมแบบถอดได้แต่มีปัญหาฟันปลอมหลวม ไม่กระชับ หรือใช้งานไม่สะดวก
- ฟันปลอมไม่มั่นคง: กรณีที่สะพานฟันหรือฟันปลอมไม่สามารถให้ความมั่นคงในช่องปากเพียงพอ ทำให้มีปัญหาการเคี้ยวอาหารหรือพูดคุย
- การสูญเสียฟันหลายซี่หรือฟันทั้งปาก: เหมาะสำหรับผู้ที่สูญเสียฟันหลายซี่หรือฟันทั้งปากและต้องการฟื้นฟูการบดเคี้ยว รวมถึงการรักษารูปหน้าไม่ให้เปลี่ยนแปลงจากการสูญเสียฟัน
เกณฑ์พิจารณาเลือกรากฟันเทียม แบบที่เหมาะสม
รากฟันเทียมมีหลายประเภท ขึ้นอยู่กับวัสดุ วิธีการฝัง และโครงสร้าง การเลือกแบบที่เหมาะสมต้องพิจารณาจากสุขภาพช่องปาก งบประมาณ และความต้องการของคนไข้
1. รากฟันเทียมแบบซี่เดียว
- ทดแทนฟันที่เสียไป 1 ซี่
- ค่าใช้จ่ายต่อซี่สูงกว่าทางเลือกอื่น
- เหมาะกับคนที่สูญเสียฟัน 1-2 ซี่
2. เลือกรากฟันเทียมแบบ All-on-4 / All-on-6
- ใช้รากฟันเทียม 4-6 ตัว รองรับฟันปลอมแบบติดแน่น
- ฟื้นฟูฟันทั้งขากรรไกรได้เร็ว
- ราคาสูงกว่ารากฟันเทียมแบบฝังเดี่ยว
3. รากฟันเทียมแบบ Mini Implant
- ขนาดเล็กกว่า ใช้เวลาดำเนินการเร็ว
- เหมาะกับคนที่มีกระดูกขากรรไกรน้อย
- ไม่แข็งแรงเท่ารากฟันเทียมปกติ
4. รากฟันเทียมแบบ Immediate Implant (ฝังทันทีหลังถอนฟัน)
- ลดระยะเวลาการรักษา
- ต้องมีสภาพเหงือกและกระดูกแข็งแรง
รากฟันเทียม อยู่ได้กี่ปี
ทำรากฟันเทียมสามารถอยู่ได้นานถึง 10-20 ปี หรือมากกว่านั้น หากได้รับการดูแลอย่างถูกวิธีและสม่ำเสมอ โดยอายุการใช้งานของรากฟันเทียมจะขึ้นอยู่กับสุขภาพช่องปาก การรักษาสุขอนามัย เช่น การแปรงฟัน การใช้ไหมขัดฟัน รวมถึงการเข้ารับการตรวจฟันกับทันตแพทย์อย่างสม่ำเสมอ ด้วยการดูแลที่เหมาะสม รากฟันเทียมสามารถใช้งานได้ยาวนาน และช่วยเพิ่มความมั่นใจในรอยยิ้มและการใช้งานฟันของคุณในระยะยาว
ข้อดีและข้อเสียของรากฟันเทียม
ข้อดีของรากฟันเทียม:
- ความคงทนและอายุการใช้งานยาวนาน: รากฟันเทียมสามารถอยู่ได้นานถึง 10-30 ปี หรือมากกว่านั้นหากดูแลรักษาอย่างดี
- รูปลักษณ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ: รากฟันเทียมมีลักษณะใกล้เคียงกับฟันธรรมชาติ ทำให้ฟื้นฟูรอยยิ้มและความมั่นใจ
- การใช้งานที่เหมือนฟันจริง: สามารถเคี้ยวอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ต้องกังวลเรื่องฟันหลุดหรือเคลื่อนที่
- ป้องกันการสูญเสียกระดูกขากรรไกร: เมื่อฟันสูญเสียไป กระดูกขากรรไกรอาจสลายตัว แต่การฝังรากฟันเทียมจะช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของกระดูกขากรรไกร
- ไม่ต้องพึ่งฟันข้างเคียง: ต่างจากสะพานฟัน รากฟันเทียมไม่ต้องอาศัยการพึ่งพิงฟันข้างเคียง ทำให้ฟันข้างเคียงไม่เสียหาย
ข้อเสียของรากฟันเทียม:
- ค่าใช้จ่ายสูง: การทำรากฟันเทียมมักมีราคาสูงกว่าเมื่อเทียบกับการรักษาแบบอื่น เช่น ฟันปลอมหรือสะพานฟัน
- ระยะเวลาการรักษานาน: กระบวนการทำรากฟันเทียมอาจใช้เวลานาน 3-6 เดือน เนื่องจากต้องรอให้รากฟันเทียมเชื่อมกับกระดูกขากรรไกร
- ต้องมีการผ่าตัด: การฝังรากฟันเทียมต้องมีการผ่าตัด ซึ่งอาจมีความเสี่ยงเช่นการติดเชื้อหรือการเจ็บปวดหลังผ่าตัด
- ไม่เหมาะสำหรับทุกคน: ผู้ที่มีภาวะกระดูกขากรรไกรไม่แข็งแรงหรือมีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน อาจไม่เหมาะสำหรับการทำรากฟันเทียม
- การดูแลหลังการทำ: จำเป็นต้องดูแลสุขอนามัยในช่องปากอย่างดีเพื่อป้องกันการติดเชื้อหรือปัญหาในระยะยาว
อ่านหัวข้อเพิ่มเติมเกี่ยวกับยี่ห้อรากฟันเทียม ได้ที่นี่ ยี่ห้อรากฟันเทียม (คลิก)
รากฟันเทียม แต่ละแบบ ราคาเท่าไหร่
ราคาของการทำรากฟันเทียมสามารถแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ยี่ห้อของรากฟันเทียม สภาพกระดูกของผู้ป่วย และจำนวนฟันที่ต้องทำ โดยทั่วไปแล้ว ราคาของรากฟันเทียมในประเทศไทย จะอยู่ที่ประมาณ:
- รากฟันเทียมซี่เดียว: ราคาเริ่มต้นประมาณ 50,000 – 60,000 บาทต่อซี่
- รากฟันเทียมแบบ All-on-4: ราคาประมาณ 250,000 บาทสำหรับทั้งปาก
- รากฟันเทียมแบบ All-on-6: ราคาประมาณ 300,000 บาทสำหรับทั้งปาก
อ่านหัวข้อที่เกี่ยวข้อง รากฟันเทียม ราคาประหยัด ที่ DDC (คลิก)
ปรึกษาหมอรากฟันเทียมออนไลน์ฟรี
ปรึกษาทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญของเรา เพื่อรับคำแนะนำและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับปัญหาสุขภาพช่องปากของคุณ ทันตแพทย์ของเรามีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในการดูแลรักษาผู้ป่วยแต่ละรายอย่างใกล้ชิด เพื่อให้คุณได้รับรอยยิ้มที่สวยงามและสุขภาพช่องปากที่ดีที่สุด
